ได้เอารูปแหวนที่อยู่ในหนังสือ "คนแซ่ตง" ที่คุณประสาทติดมือไปด้วย เปิดรูปแหวนที่ตกทอดมาจาก อาก๋งตงซีคี ให้ทุกท่านช่วยอ่านดู ปรากฎว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะในรูปแหวนนั้น เป็นรูปตัวหนังสือกลับหลัง ต้องใช้กระจกเงามาส่องอ่าน ได้ความว่า ยี่เข่ง ยี่แปลว่า หยก เข่งแปลว่า พื้นที่รับโชคลาภ หรือที่ว่างรับเงินทองร่ำรวย เมื่อเราก้าวข้าวธรณีประตูเข้าไปแล้ว
ลายมือ ผู่จี้ต๋ง เขียนคำว่า ยี่เข่ง |
ก๋งอารีย์ให้ความเห็นว่า การที่มีแหวนตัวอักษรกลับหลัง หมายถึงบรรพบุรุษต้องได้รับตราสัญลักษณ์นี้มาเพื่อประทับลงในหนังสือสั่งการ เป็นได้ว่า บรรพบุรุษแซ่ตงอาจเป็นนักปกครองหรือหัวหน้า ส่วนจะอยู่ในระดับใดนั้นต้องค้นคว้าต่อไป
เกาะใหหนำเป็นเมืองที่มีอากาศลมมรสุมฝนตกบ่อย |
ครั้นมาพร้อมกันแล้วพากันขึ้นรถยนต์ตู้แอร์ออกเดินทางไปหมู่บ้านแซ่ผู่ของก๋งอารีย์ ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างมากมองไม่เห็นตะวัน ฝนทำท่าจะตกลงมาอย่างแรง กลางเมืองไหโข่วมีถนนลาดยางสะอาดอย่างมาก ต้นมะพร้าวกับปาล์มมากมายปลูกเป็นระเบียบสองข้างทางทั้งเมือง ถนนมี ๘ เลนซ์ รถวิ่งวันเวย์แต่วิ่งเลนซ์ขวา
สะพานข้ามแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของเกาะใหหนำ |
เราขับรถผ่านสะพานแม่น้ำใหญ่ที่สุดของไหโข่ว แม่น้ำนี้ว่ากันว่าต้นกำเนิดมาจาก ๕ เทือกเขาทางเหนือไหลลงมาผ่านเมืองไหโข่ว เมื่อขับรถผ่านสะพานนี้ไปถึงจะเข้าเขตเหวินชาง
ตงกวงอิ้ว(ชาญยุทธ ตงศิริ อยู่อำเภอโนนสะอาด อุดรธานี) เล่าให้ฟังว่า สมัยเมื่อเป็นเด็กอายุประมาณ ๙ ขวบได้เดินทางไปใหหนำที่หมู่บ้านบุ่นสิวโพสุย พร้อมกับ ตงฮีนเหม่ง (วินิจ ตงศิริ) อายุ ๑๐ ปี ตงฮีนเซ็ง (วินัย ตงศิริ) อายุ ๙ ปี ทั้งสามคนถูกส่งไปอยู่ที่ใหหนำและเรียนหนังสืออยู่ที่ไหหลำ ท่านเล่าว่าผู้ใหญ่จะกำชับอย่างมากว่า ระหว่างที่เรือจะข้ามฟากจากฝั่งไหโข่ว ไปขึ้นฝั่ง เหวินชาง เพื่อจะข้ามไปหมู่บ้านบุ่นสิวโพสุยนั้น ให้ระวังเรือที่นั่งไปจะเบียดกันและขอบเรือตัดนิ้ว จึงให้ระวังอย่าจับขอบเรือ
ตงกวงอิ้ว(ชาญยุทธ ตงศิริ อยู่อำเภอโนนสะอาด อุดรธานี) เล่าให้ฟังว่า สมัยเมื่อเป็นเด็กอายุประมาณ ๙ ขวบได้เดินทางไปใหหนำที่หมู่บ้านบุ่นสิวโพสุย พร้อมกับ ตงฮีนเหม่ง (วินิจ ตงศิริ) อายุ ๑๐ ปี ตงฮีนเซ็ง (วินัย ตงศิริ) อายุ ๙ ปี ทั้งสามคนถูกส่งไปอยู่ที่ใหหนำและเรียนหนังสืออยู่ที่ไหหลำ ท่านเล่าว่าผู้ใหญ่จะกำชับอย่างมากว่า ระหว่างที่เรือจะข้ามฟากจากฝั่งไหโข่ว ไปขึ้นฝั่ง เหวินชาง เพื่อจะข้ามไปหมู่บ้านบุ่นสิวโพสุยนั้น ให้ระวังเรือที่นั่งไปจะเบียดกันและขอบเรือตัดนิ้ว จึงให้ระวังอย่าจับขอบเรือ
เรื่องนี้ ตงเค่งเซ็ง อาเดของฤาษีก็เล่าเหมือนกัน และยิ่งมาเห็นแม่น้ำใหญ่ที่ว่านี้กับตาตนเอง ทำให้จินตนาการ การเดินทางของบรรพบุรุษได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มองเห็นคุณค่าความหมายของคำสั่งของอาเดเซ็ง และ ก๋ง ตงซีคี ว่า "ลูกผู้ชายต้องอดทน" ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ในตัวเมืองมีที่ทำการพรรค ถนนบางส่วนเป็น 4 เลนซ์ สองข้างถนนมีต้นไม้เขียวขจี ป่ากล้วยงามตา ทุ่งนาและทุกสรรพสิ่งเขียวงามไปทุกอย่างคงเนื่องจากสภาพเป็นเกาะความชื้นสูง ฝนเลยตกมาก
ก๋งอารีย์เล่าเสริมเป็นคำพูดของโบราณที่เป็นมงคลว่า หากอยากรู้ว่าตนเองมีสุขภาพเป็นอย่างไรให้ไปที่ใหหนำ หากอยากรู้ว่าตนเองมียศศักดิ์ใหญ่โตเพียงใดให้ไปอยู่ที่ปักกิ่ง
หมายความว่าที่ใหหนำนั้นมีอากาศแปรเปลี่ยนกระทันหันตลอดเวลา (เรื่องนี้ฤาษีเจอมาเอง วันหนึ่ง ๓ ฤดูและวนกันวันละหลายรอบ) ดังนั้น ถ้าสุขภาพแข็งแรงดีจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนใครที่คิดว่าตนเองมีอำนาจวาสนายศศักดิ์ใหญ่โต เมื่อเข้าไปที่ปักกิ่งจะมีแต่ผู้มียศศักดิ์เต็มไปหมด นายอำเภอหรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจไปยืนต่อท้ายแถวลำดับที่พันก็ได้
คำพูดของคนโบราณนี้ เพื่อเตือนสติผู้คนว่า
อย่าได้ขี้โม้โอ้อวดหยิ่งผยอง...นั่นเอง
ว่ากันว่าการทำนาที่ไหหลำทำได้ปีละ 3 ครั้ง แต่ชาวนาทำแค่ 2 ครั้งเพื่อให้ผลผลิตสมบูรณ์และไม่ให้ออกมามากเกินไป มองทุ่งนาชนบทเขียวงามไปทุกแห่งสุดสายตา คงเป็นเพราะมีอากาศฝนตกบ่อย ข้างถนนจะปลูกมะพร้าว ปาล์ม ยูคา หมากตลอดสาย
สกลนครบ้านเราปลูกมะพร้าวหรือกอไผ่ไว้รอบหนองหารน่าจะดี จะได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่มีมะพร้าวรอบหนองหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยไงหละ..
คิดดูแล้วเมืองไทยน่าจะเอาแบบอย่าง สองข้างทางระหว่างเสาไฟฟ้าเมืองไทยปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำสระน้ำขนาดเล็กให้เก็บน้ำเพื่อการเกษตรหรือเลี้ยงปลา พอเกี่ยวข้าวหมดหน้านาน้ำแล้ง สระน้ำขนาดเล็กนี้ก็จะมีสัตว์น้ำมาอาศัย คราวนี้ได้จับปลากิน น้ำก็เอามาปลูกผักเป็นการหากินอย่างพอเพียงง่าย ๆ มีสระน้ำใช้หน้าแล้งเต็มภาคอีสาน
เมืองเหวินชางปลูกสับปะรด แตงโม กาแฟมาก มีควายอยู่ในทุ่งนาชนบทข้างทางเหมือนเมืองไทย ภาษาจีนเรียก ควาย ว่าหนิว, ต้าลับ แปลว่า ตลาด,
ซาบู แปลว่า สบู่
ร้านขายโจ้กและอาหารเช้าคนอุดหนุนมากมาย |
เวลา 09.15 น. เข้ามาที่เมืองต้าซื่อโผ (หรือ โด่สี่โพ หรือดั่วสี่โพ) มีตลาดขนาดใหญ่ เข้าไปแวะชมดูเป็นตลาดชาวบ้าน เอาพืชผักมาขายจากชนบท
ระหว่างเดินเป็น พญาน้อยชมตลาด ฤาษีเห็นเด็กผู้ชายน่ารักมากอายุราว ป. 3 -ป.๔ นั่งขายสัปปะรดอยู่ริมถนนในตลาด คิดถึงความหลังตอนเป็นเด็ก พี่ติ๊กกับยายราศรีให้เอาหน่อไม้ปี๊บไปวางขายในตลาดนาแกข้างบ้านพักนายอำเภอทุกวันนี้ พอมีคนมาซื้อก็เอาใบตองมาห่อหน่อไม้ เอาตอกไม้ไผ่มามัด ยื่นให้ไปพร้อมรับเงินมา เด็กที่เห็นตรงหน้าก็คงไม่ต่างกันกับเราเมื่อตอนยังเด็ก ต่างแต่เราขายหน่อไม้ ไอ้หนูขายสับปะรด น่าเอ็นดูกว่าเราเยอะ
ด้วยความเมตตาสงสารเป็นทุนเดิม เพราะความจนกับความทุกข์ยากเป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่เกิดแล้ว จึงเดินเอากะตังส์ไปให้ ๒๐ หยวนพร้อมถ่ายรูป ๑ รูป เอาว่าเป็นค่าถ่ายรูป (ป๋าปรีชาบอกว่า ห้ามคิดว่าเอา ๕ บาทคูณนะ มันจะเที่ยวไม่สนุก) พอฤาษีเดินไปสักหน่อย เด็กน้อยเดินตามมาพร้อมเอาสับปะรดมาใส่ถุงยื่นให้ 2 ลูก และตามเอามาแถมให้อีก ๑ ลูก พูดภาษาจีนทำนองว่า จ่ายเงินแล้วยังไม่เอาของ เกิดความรู้สึกที่ดีมากๆ เดินทางเที่ยวไปทางเหนือของไทย หรือไปเที่ยวบางประเทศ เห็นนักท่องเที่ยวแล้วนึกว่าเป็นหมูจะไถสะตังค์อย่างเดียว แต่ไอ้หนูน้อยคนนี้ เป็นคนซื่อสัตย์มาก แสดงว่า พ่อแม่เลี้ยงดูมาดีและอาจเป็นวัฒนธรรมของคนจีนที่ให้คิดถึงคุณธรรมเป็นหลักเป็นแก่นใจ คนไม่มีแก่นใจเหมือนต้นไม้ไม่มีแก่นกลาง เอาไปสร้างหรือทำอะไรก็ไม่ทนทาน ไม่ควรคบ
คุณยอดชายว่า เขาเป็นคนซื่อสัตย์ไม่มีคนคดโกงมาก เป็นคนในชนบทมีความซื่อสัตย์ คนใหหนำไม่ค่อยมีขอทาน ถ้ามีเป็นขอทานจะเป็นเผ่าอื่น เท็จจริงอย่างไร ไปหาข้อมูลกันเอง
เดินวนดูตลาดแล้วสนุกดีมาก เห็นชีวิตวิถีหลากหลายมาก แบบนี้ชอบมาก ถ้ามาแบบตะลอนทัวส์ละก็ ไม่ได้ไปไหนกันหละวันนี้ ต้องเที่ยวซื้อนั่นนิด ชิมนี่หน่อยแน่ ไม่แล้วไม่เลิกแน่ๆ
เวลา 09.50 น. ออกจากตำบลต้าซื่อโผ ตามถนนหนทางเขียวงาม ถนนลาดยางตลอดสายมีคลื่นบ้างเล็กน้อย ป้ายบอกหมู่บ้านทำด้วยหินสลัก ปลูกกระถินเทพาไว้สองข้างทางสภาพทั่วไปดูอุดมสมบูรณ์ดีมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น