วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตอนที่ ๖ ระเห็ดไปดั่วสี่โพสุย

๐๘.๐๐ น. ระหว่างที่รอคณะอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมกั้มหยวน เห็นว่าก๋งอารีย์กับน้องชายชื่อ ผู่จี้ต๋ง  ท่านผู้นี้ทำงานอยู่ที่กว่างเจา มาสมทบไปเที่ยวด้วยกัน  เลยถ่ายรูปคู่กันเพื่อเป็นที่ระลึก  

    ได้เอารูปแหวนที่อยู่ในหนังสือ "คนแซ่ตง" ที่คุณประสาทติดมือไปด้วย เปิดรูปแหวนที่ตกทอดมาจาก อาก๋งตงซีคี  ให้ทุกท่านช่วยอ่านดู ปรากฎว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะในรูปแหวนนั้น เป็นรูปตัวหนังสือกลับหลัง  ต้องใช้กระจกเงามาส่องอ่าน  ได้ความว่า  ยี่เข่ง  ยี่แปลว่า หยก  เข่งแปลว่า พื้นที่รับโชคลาภ หรือที่ว่างรับเงินทองร่ำรวย   เมื่อเราก้าวข้าวธรณีประตูเข้าไปแล้ว
ผู่จี้เบ่งกับน้องชายผู่จี้ต๋ง



คนขวามือเป็นเลขานุการตระกูลผู่ใหหนำสากล




ลายมือ ผู่จี้ต๋ง  เขียนคำว่า ยี่เข่ง

พื้นที่ว่างเมื่อก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้ว
บริเวณที่คุณประสาทและป๋าปรีชายืนอยู่ในรูปนี้ หมายถึง ยี่เข่ง
หรืออีกความหมายหนึ่งหมายถึง เมื่อเราผ่านเข้าประตูเมืองแล้ว
บริเวณที่สร้างเมืองนั้นเป็นสถานที่อุดมมงคล


     ก๋งอารีย์ให้ความเห็นว่า การที่มีแหวนตัวอักษรกลับหลัง หมายถึงบรรพบุรุษต้องได้รับตราสัญลักษณ์นี้มาเพื่อประทับลงในหนังสือสั่งการ เป็นได้ว่า บรรพบุรุษแซ่ตงอาจเป็นนักปกครองหรือหัวหน้า ส่วนจะอยู่ในระดับใดนั้นต้องค้นคว้าต่อไป
เกาะใหหนำเป็นเมืองที่มีอากาศลมมรสุมฝนตกบ่อย
    ครั้นมาพร้อมกันแล้วพากันขึ้นรถยนต์ตู้แอร์ออกเดินทางไปหมู่บ้านแซ่ผู่ของก๋งอารีย์  ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างมากมองไม่เห็นตะวัน   ฝนทำท่าจะตกลงมาอย่างแรง  กลางเมืองไหโข่วมีถนนลาดยางสะอาดอย่างมาก ต้นมะพร้าวกับปาล์มมากมายปลูกเป็นระเบียบสองข้างทางทั้งเมือง ถนนมี ๘ เลนซ์ รถวิ่งวันเวย์แต่วิ่งเลนซ์ขวา


สะพานข้ามแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของเกาะใหหนำ
            เราขับรถผ่านสะพานแม่น้ำใหญ่ที่สุดของไหโข่ว แม่น้ำนี้ว่ากันว่าต้นกำเนิดมาจาก ๕ เทือกเขาทางเหนือไหลลงมาผ่านเมืองไหโข่ว เมื่อขับรถผ่านสะพานนี้ไปถึงจะเข้าเขตเหวินชาง 
           ตงกวงอิ้ว(ชาญยุทธ ตงศิริ อยู่อำเภอโนนสะอาด อุดรธานี) เล่าให้ฟังว่า สมัยเมื่อเป็นเด็กอายุประมาณ ๙ ขวบได้เดินทางไปใหหนำที่หมู่บ้านบุ่นสิวโพสุย พร้อมกับ     ตงฮีนเหม่ง (วินิจ ตงศิริ)   อายุ ๑๐ ปี     ตงฮีนเซ็ง (วินัย ตงศิริ) อายุ ๙  ปี ทั้งสามคนถูกส่งไปอยู่ที่ใหหนำและเรียนหนังสืออยู่ที่ไหหลำ ท่านเล่าว่าผู้ใหญ่จะกำชับอย่างมากว่า ระหว่างที่เรือจะข้ามฟากจากฝั่งไหโข่ว ไปขึ้นฝั่ง เหวินชาง เพื่อจะข้ามไปหมู่บ้านบุ่นสิวโพสุยนั้น ให้ระวังเรือที่นั่งไปจะเบียดกันและขอบเรือตัดนิ้ว จึงให้ระวังอย่าจับขอบเรือ 

 เรื่องนี้ ตงเค่งเซ็ง อาเดของฤาษีก็เล่าเหมือนกัน  และยิ่งมาเห็นแม่น้ำใหญ่ที่ว่านี้กับตาตนเอง ทำให้จินตนาการ การเดินทางของบรรพบุรุษได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  มองเห็นคุณค่าความหมายของคำสั่งของอาเดเซ็ง และ ก๋ง ตงซีคี ว่า "ลูกผู้ชายต้องอดทน" ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในตัวเมืองมีที่ทำการพรรค   ถนนบางส่วนเป็น 4 เลนซ์  สองข้างถนนมีต้นไม้เขียวขจี  ป่ากล้วยงามตา ทุ่งนาและทุกสรรพสิ่งเขียวงามไปทุกอย่างคงเนื่องจากสภาพเป็นเกาะความชื้นสูง ฝนเลยตกมาก

           ก๋งอารีย์เล่าเสริมเป็นคำพูดของโบราณที่เป็นมงคลว่า  หากอยากรู้ว่าตนเองมีสุขภาพเป็นอย่างไรให้ไปที่ใหหนำ    หากอยากรู้ว่าตนเองมียศศักดิ์ใหญ่โตเพียงใดให้ไปอยู่ที่ปักกิ่ง 


        หมายความว่าที่ใหหนำนั้นมีอากาศแปรเปลี่ยนกระทันหันตลอดเวลา (เรื่องนี้ฤาษีเจอมาเอง วันหนึ่ง ๓ ฤดูและวนกันวันละหลายรอบ) ดังนั้น ถ้าสุขภาพแข็งแรงดีจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย  ส่วนใครที่คิดว่าตนเองมีอำนาจวาสนายศศักดิ์ใหญ่โต  เมื่อเข้าไปที่ปักกิ่งจะมีแต่ผู้มียศศักดิ์เต็มไปหมด นายอำเภอหรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจไปยืนต่อท้ายแถวลำดับที่พันก็ได้
          คำพูดของคนโบราณนี้ เพื่อเตือนสติผู้คนว่า
        อย่าได้ขี้โม้โอ้อวดหยิ่งผยอง...นั่นเอง

  ว่ากันว่าการทำนาที่ไหหลำทำได้ปีละ 3 ครั้ง แต่ชาวนาทำแค่ 2 ครั้งเพื่อให้ผลผลิตสมบูรณ์และไม่ให้ออกมามากเกินไป  มองทุ่งนาชนบทเขียวงามไปทุกแห่งสุดสายตา คงเป็นเพราะมีอากาศฝนตกบ่อย ข้างถนนจะปลูกมะพร้าว ปาล์ม ยูคา หมากตลอดสาย 
     สกลนครบ้านเราปลูกมะพร้าวหรือกอไผ่ไว้รอบหนองหารน่าจะดี  จะได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่มีมะพร้าวรอบหนองหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยไงหละ..  


  คิดดูแล้วเมืองไทยน่าจะเอาแบบอย่าง  สองข้างทางระหว่างเสาไฟฟ้าเมืองไทยปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำสระน้ำขนาดเล็กให้เก็บน้ำเพื่อการเกษตรหรือเลี้ยงปลา พอเกี่ยวข้าวหมดหน้านาน้ำแล้ง สระน้ำขนาดเล็กนี้ก็จะมีสัตว์น้ำมาอาศัย คราวนี้ได้จับปลากิน น้ำก็เอามาปลูกผักเป็นการหากินอย่างพอเพียงง่าย ๆ มีสระน้ำใช้หน้าแล้งเต็มภาคอีสาน


 เมืองเหวินชางปลูกสับปะรด แตงโม กาแฟมาก มีควายอยู่ในทุ่งนาชนบทข้างทางเหมือนเมืองไทย  ภาษาจีนเรียก  ควาย ว่าหนิว, ต้าลับ แปลว่า ตลาด,
ซาบู แปลว่า สบู่
ร้านขายโจ้กและอาหารเช้าคนอุดหนุนมากมาย
           คุณประสาทอยากหาที่ลดน้ำหนัก    ขออภัยอย่าคิดจะเข้าไปปลดทุกข์ได้ง่าย ๆ เพราะไม่ได้มีปั๊มน้ำมันมากมายเหมือนเมืองไทย  เมื่อหาห้องน้ำไม่ได้ ต้องแวะร้านขายโจ๊ก  หน้าตลาดเมืองดั่วสี่โผ  ที่มีคนมาทานอาหารเช้ามากมาย  ดูน่าจะราคาถูกและน่ารับประทานมาก




           เวลา 09.15 น. เข้ามาที่เมืองต้าซื่อโผ (หรือ โด่สี่โพ หรือดั่วสี่โพ) มีตลาดขนาดใหญ่ เข้าไปแวะชมดูเป็นตลาดชาวบ้าน เอาพืชผักมาขายจากชนบท

        
 หมูพะโล้  ไก่ต้ม เป็ดพะโล้  แม่ค้าตะโกนเรียกชื้อเสียงดังเจี้ยวจ้าว  บางคนยกกล้องถ่ายรูปหลบหน้าเอียงอาย ทั้งไก่ทั้งเป็ดพะโล้น่ารับทานมาก  ก๋งอารีย์เลยบอกอุดหนุนไป ๒ เจ้า เห็นแล้วน้ำลายไหล  บอกว่าเอาไปทานที่หมู่บ้านแซ่ผู่  

แม่ค้าเจ้านี้เสียงดังกว่าเพื่อน แต่อร่อยมาก 
 ใครไปเมืองนี้ จำไว้เธออยู่ซ้ายมือสุด
ระหว่างเดินเป็น พญาน้อยชมตลาด  ฤาษีเห็นเด็กผู้ชายน่ารักมากอายุราว ป. 3 -ป.๔ นั่งขายสัปปะรดอยู่ริมถนนในตลาด  คิดถึงความหลังตอนเป็นเด็ก  พี่ติ๊กกับยายราศรีให้เอาหน่อไม้ปี๊บไปวางขายในตลาดนาแกข้างบ้านพักนายอำเภอทุกวันนี้   พอมีคนมาซื้อก็เอาใบตองมาห่อหน่อไม้  เอาตอกไม้ไผ่มามัด ยื่นให้ไปพร้อมรับเงินมา   เด็กที่เห็นตรงหน้าก็คงไม่ต่างกันกับเราเมื่อตอนยังเด็ก ต่างแต่เราขายหน่อไม้  ไอ้หนูขายสับปะรด น่าเอ็นดูกว่าเราเยอะ
 ด้วยความเมตตาสงสารเป็นทุนเดิม เพราะความจนกับความทุกข์ยากเป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่เกิดแล้ว  จึงเดินเอากะตังส์ไปให้ ๒๐ หยวนพร้อมถ่ายรูป ๑ รูป เอาว่าเป็นค่าถ่ายรูป (ป๋าปรีชาบอกว่า ห้ามคิดว่าเอา ๕ บาทคูณนะ มันจะเที่ยวไม่สนุก)  พอฤาษีเดินไปสักหน่อย  เด็กน้อยเดินตามมาพร้อมเอาสับปะรดมาใส่ถุงยื่นให้ 2 ลูก และตามเอามาแถมให้อีก ๑  ลูก พูดภาษาจีนทำนองว่า จ่ายเงินแล้วยังไม่เอาของ  เกิดความรู้สึกที่ดีมากๆ เดินทางเที่ยวไปทางเหนือของไทย หรือไปเที่ยวบางประเทศ  เห็นนักท่องเที่ยวแล้วนึกว่าเป็นหมูจะไถสะตังค์อย่างเดียว  แต่ไอ้หนูน้อยคนนี้ เป็นคนซื่อสัตย์มาก แสดงว่า พ่อแม่เลี้ยงดูมาดีและอาจเป็นวัฒนธรรมของคนจีนที่ให้คิดถึงคุณธรรมเป็นหลักเป็นแก่นใจ  คนไม่มีแก่นใจเหมือนต้นไม้ไม่มีแก่นกลาง  เอาไปสร้างหรือทำอะไรก็ไม่ทนทาน ไม่ควรคบ
คุณยอดชายว่า เขาเป็นคนซื่อสัตย์ไม่มีคนคดโกงมาก  เป็นคนในชนบทมีความซื่อสัตย์ คนใหหนำไม่ค่อยมีขอทาน  ถ้ามีเป็นขอทานจะเป็นเผ่าอื่น  เท็จจริงอย่างไร ไปหาข้อมูลกันเอง

 เดินวนดูตลาดแล้วสนุกดีมาก   เห็นชีวิตวิถีหลากหลายมาก แบบนี้ชอบมาก  ถ้ามาแบบตะลอนทัวส์ละก็ ไม่ได้ไปไหนกันหละวันนี้  ต้องเที่ยวซื้อนั่นนิด  ชิมนี่หน่อยแน่  ไม่แล้วไม่เลิกแน่ๆ

     


เวลา 09.50 น. ออกจากตำบลต้าซื่อโผ ตามถนนหนทางเขียวงาม ถนนลาดยางตลอดสายมีคลื่นบ้างเล็กน้อย ป้ายบอกหมู่บ้านทำด้วยหินสลัก ปลูกกระถินเทพาไว้สองข้างทางสภาพทั่วไปดูอุดมสมบูรณ์ดีมาก
            10.15 น. ถึงบ้านบรรพบุรุษแซ่ผู่  .....












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น