วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตอนที่ ๔ กลับบ้านก๋ง


วันที่ ๓๑ พฤษภาคม  พ.ศ.๒๕๕๕

               หากบุญกรรมเป็นผู้กำหนดโชคชะตาการกระทำชีวิตมนุษย์ 

 ฟ้าดินให้คุณแลโทษต่อการกระทำ  กาลเวลาขีดเส้นใต้วาระของชะตากรรม

ล้วไซร้   การ "กลับบ้านก๋ง" คราวครั้งนี้  บุญกรรม ฟ้าดิน และกาลเวลา     คงส่งผลอันยิ่งใหญ่ให้เกิดประสบการณ์และการกระทำที่มีค่าล้นพ้นเป็นแม่นมั่น
              หากใครได้ดูฉากสุดท้ายของภาพยนต์ เรื่อง Man in Black  ตอนที่ตัวละครเอก มิสเตอร์ เค ลืมให้ทิปพนักงานเสริฟ ๒๐ เหรียญ แล้วดาวเคราะห์น้อยหรืออุกาบาตขนาดยักษ์กำลังวิ่งมาชนโลก   แต่เมื่อมิสเตอร์เค คิดได้กลับมาเอาเงิน ๒๐ เหรียญวางทิปบนโต๊ะให้พนักงาน  ปรากฎว่า มีดาวเทียมดวงหนึ่งหมุนเคลื่อนตามวงโคจรมาชนดาวเคราะห์น้อยหรืออุกาบาตนั้นแตกกระจายก่อนจะตกลงมาทำอันตรายแก่สู่โลกมนุษย์

            การกระทำความดีแม้จะยิ่งใหญ่หรือเพียงเล็กน้อยก็ตาม ย่อมมีความสำคัญ มีคุณค่าและความหมายเสมอ 
บางท่านอาจได้ยินคำว่า เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว 
บางท่านอาจได้ยินคำว่า เพียงผีเสื้อที่บอบบางขยับปีก โลกนี้ก็สั่นสะเทือนเลื่อนไหว แต่มีประโยคทองอีกสองประโยคที่ท่านอาจไม่เคยได้ยินจากที่ใด คือประโยคที่ว่า .....

    -  เรื่องเล็กๆ ที่เราทำวันนี้ นานวันเข้าก็ยิ่งใหญ่เอง  

                - ใบไม้ร่วงแม้เพียงใบเดียว
            ก็บอกเราได้ว่า ฤดูหนาวเริ่มแล้ว   
   
       สองประโยคนี้ถ้าเอ่ยจากปากฤาษีผู้บันทึกย่อมไม่มีคุณค่าความหมายใด  เอ่ยไปก็จะมีแต่ผู้คนค่อนขอดเยาะเย้ยหยันใยไพว่า ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว 
แต่สองประโยคนี้กลับทำให้ฤาษีผู้บันทึกมีกำลังใจเปี่ยมล้นมุ่งมั่นที่จะได้กระทำการค้นคว้า สืบเสาะหา และบันทึกเรื่องราวของ  "ใหหนำ ...แต๊ต๋ง"  จากการ "กลับบ้านก๋ง" ที่ใหหนำในคราวครั้งนี้
เพราะผู้ที่เอ่ยประโยคทองให้กำลังใจท่านนี้คือ .....

ก๋งอารีย์  ภู่สมบุญ 

           ผู้บันทึกไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่า ในชีวิตนี้จะได้มีโอกาสอันป็น มงคลอย่างยิ่งสำหรับการได้รับความรู้ ประสบการณ์และได้ฟังเรื่องราวชีวิตของท่านจากปากคำที่ท่านได้เล่าเองอย่างไม่มีปิดบังอ้อมค้อม
           มีนักปราชณ์บอกว่า   ชีวิตคนคนหนึ่งเหมือนหนังสือตำราเล่มใหญ่       เราอ่านและเอามาปรับใช้ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้

          แต่สำหรับ หนังสือตำราชีวิตของ "ก๋งอารีย์" ไม่ต้องเปิดอ่าน  เพราะท่านเล่าให้ฟังจากปากของท่านเอง ตลอดระยะเวลา ๔ คืน ๕ วัน ที่ท่านเมตตาพาคณะลูกหลาน "แต๊ต๋ง" กลับไปค้นคว้า สืบเสาะหาจนพบหมู่บ้านแต๊ต๋ง ที่เกาะใหหนำ
            แล้วอย่างนี้ จะไม่เรียกว่า "เป็นโชควาสนาและมงคลชีวิตอย่างสูง" ได้อย่างไรเพื่อความสะดวกและสอดคล้องกับเรื่องราวที่จะได้บันทึกต่อไปนี้       ขออนุญาตเรียกท่านว่า อาก๋ง ตามอายุของท่านที่ย่างเข้ากว่าแปดสิบเอ็ดปีแล้ว และเรียกตาม "น้องปิค"หลานสาวและ "น้องแนตตี้"เพื่อนของน้องปิคที่ตามไปเที่ยวและดูแลท่านด้วย

ดังนั้นคำว่า    ก๋ง    ในที่นี้     จึงหมายถึง ...

ก๋งอารีย์ และ ก๋งที่เป็นบรรพบุรุษของทั้งแซ่ผู่

และบรรพบุรุษของแต๊ต๋งด้วย

จากนี้ไป  เป็นเรื่องราวที่ได้บันทึกไว้และนำมาเรียบเรียงใหม่
มีทั้งเหตุการณ์ระหว่างท่องเที่ยว  สาระ  บันเทิง คติเตือนใจ
และมิตรภาพอันอบอุ่นของทุกท่านที่ร่วมไปในครั้งนี้.....

                            ด้วยความเคารพนับถือในทุกท่าน
                                                      ฤาษีเอก  อมตะ
                               วันที่ ๑๖  มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕



วันที่ ๓๑  พฤษภาคม  พ.ศ.๒๕๕๕
            เนื่องจากเมื่อคืนกว่าจะได้หลับได้นอนก็ค่อนเข้าหกทุ่มไปแล้ว  ได้โทรศัพท์ไปหาคุณศักดิ์โชเฟอร์แท็กซี่ผู้ใจดี ให้มารับตอนเวลาตีสอง ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นได้เตรียมเสื้อผ้า สิ่งของเอกสารเดินทางทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว  ส่วนใดที่ไม่สดวกได้ฝากคุณจุ้ยเอากลับสกลนคร
            เวลาล่วงเข้าตีสองคุณศักดิ์โทรศัพท์มาปลุก  ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ เอาเงินไว้ให้คุณจุ้ยเป็นค่าใช้จ่าย ๑๐๐๐ บาท และให้โทรศัพท์ประสานงานกับคุณหมอศิริโรจน์ และคณะเครือข่ายจิตอาสา อโรคยศาล วัดคำประมง หากมีความไม่สะดวกประการใด



จุ้ย  วาดอักษร ไม่ชอบเป็นนักประพันธ์ 
 แต่ขอเป็น นักเขียนเพลง ผลงานมากมาย
 อาทิ ปราสาทภูเพ็ก  เตียงศิริขันธ์  สัจจธรรม  คนแซ่ตง


          เดินลากกระเป๋าลงไปรอคุณศักดิ์ที่หน้าวัดชนะสงคราม เนื่องจากรถติดมากไม่มีโอกาสจอดเลย  เพราะชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยกำลังสนุกสนานได้ที่  เหมือนว่า ถนนข้าวสารทั้งซอยนั้นเป็นมหกรรมบันเทิง สำเริงสำราญของทุกคนแบบไม่มีวันหยุดจนกว่าจะสว่าง  นี่ขนาดตีสองแล้ว  ไม่เห็นกับตาจะไม่เชื่อว่า นี่เมืองไทย  กรุงเทพมหานคร ของเรา
            พอคุณศักดิ์เปิดไฟกระพริบให้ก็เปิดประตูรถยกของขึ้นเบาะหลังซึ่งก็มีเพียงกระเป๋าลากใบเดียว และย่ามแดงชมพูเก๋ไก๋ดูดีมีสไตย์น่ารักสะพายบ่าอีกใบหนึ่ง ฤาษีไม่มีไม้เท้าขอสะพายย่ามก็น่าจะพอทดแทนกันได้ 

           พูดคุยกันสรรพเพเหระ คุณศักดิ์บอกว่า ถ้าอาจารย์เข้ามากรุงเทพบ่อย ๆ  ไม่ต้องหาโรงแรมที่พักให้เสียเงิน มาพักที่บ้านผมก็ได้อยู่แถวลำลูกกา  เนื่องจากคุณศักดิ์สนใจเรื่องการทำบุญกุศล  ทั้งบ้านและรถได้มาแบบปาฎิหาริย์จึงชอบทำบุญ  ทำกรรมฐาน และเชื่อผลการทำความดีตามที่พระพุทธองค์ประทานการสั่งสอน
           รถมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณตีสาม เนื่องจากการจราจรไม่แออัด  เรื่องการมารอเครื่องบินคิดว่า ดีกว่ามาไม่ทันตกเครื่องบินจะเสียหายหนักยิ่งกว่า  ฤาษีคนบ้านนอกอยู่ป่าอยู่เขา  นานทีปีหนได้เข้ามาเมืองกรุง      ยิ่งไปเมืองนอกอย่างนี้  ถือว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นยิ่งใหญ่  จ่ายค่ารถให้คุณศักดิ์ไป ๒๔๐ บาท บอกว่า ถ้ากลับมาไม่ติดขัดอะไรให้โทรหาคุณศักดิ์จะมารับอีก  กล่าวขอบคุณแล้วร่ำลากัน

            เดินเข้ามานั่งรอฟ้าสางสว่างแจ้ง  นับว่าเป็นโชคดีมีเวลาว่างได้เขียนบันทึกอยู่ที่เก้าอี้ยาว ด้านข้างเจ้าฝรั่งถือขวดเบียร์มานอนหลับกรนอยู่ครอกๆ  ข้างในเปิดแอร์เย็นมากจนหนาวดีแต่มีเสื้อกั๊กปักชื่อ ฤาษีเอก อมตะ ทับมาด้วยอีกตัวหนึ่ง จึงทนความหนาวได้  เขียนบันทึกไว้มากมายหลายหน้ากระดาษ  ระยะหลังๆ มานี้ ไม่รู้เป็นอะไร  สมองลื่นไหล  นั่งลงเขียนได้เลยทุกที่  ทุกเรื่อง  แม้แต่เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เขียนให้เป็นเรื่องได้  ขออย่างเดียว อย่ามีเรื่องเท่านั้น ไม่ค่อยชอบ

          เวลาตีห้าครึ่งยามเช้าฟ้าเริ่มสว่าง นั่งเขียนบนเก้าอี้ใกล้ประตู U รอคณะที่จะมา  เดินถ่ายรูปสนามบินสุวรรณภูมิไว้หลายรูปเหมือนกันเอาไว้ประกอบหนังสือบันทึกการเดินทางครั้งนี้

คณะทัวส์ กลับบ้านก๋ง
จากซ้ายคุณศิริพร  ตงศิริ  คุณประสาท ตงศิริ  ก๋งอารีย์  ภู่สมบุญ  
 ฤาษีเอก  อมตะ    ป๋าปรีชา เล็กวิจิตรธาดา

ปิคกี้


แนตตี้
        เวลา ๐๖.๒๐ น. คณะทัวส์ใหหนำคราวนี้มารวมพลกันที่ประตู U  ทักทายคุณประสาท ตงศิริ และ คุณศิริพร ตงศิริ  ญาติและเจ้ามือที่สนับสนุนการเดินทางคราวนี้  คุณประสาท ได้แนะนำคณะที่ไปว่า นี่ ท่านประธานอารีย์ ภู่สมบุญ ที่จะพาคณะเราไปคราวนี้  อาจารย์ปรีชา เล็กวิจิตรธาดา ท่านนี้รู้จักกันมาก่อน  เพราะท่านเป็นอาจารย์สอนอบรมผู้นำ YCL ( Young Community Leadership) ซึ่งฤาษีก็เป็นผู้เข้าร่วมอบรม รุ่นแรกของประเทศที่สกลนครด้วยเหมือนกัน (อะแฮ่ม..)  นอกจากนั้นมีคุณจีระนันท์ ภู่สมบุญ (ปิ๊คกี้) หลานสาว ท่านประธานอารีย์ซึ่งเป็นอาก๋ง และคุณแน๊ตตี้ เพื่อนคุณปิ๊ค


           ครั้งแรกที่ได้พบหน้าอาก๋งอารีย์  บุคลิกรูปร่างสูงใหญ่อุดมสมวัย ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี มีเมตตา เค้าหน้ามีรอยแย้มเปื้อนหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ยิ้มก็เหมือนยิ้ม เรารับรู้ได้ถึงกระแสเมตตาที่เปล่งประกายออกมา ยิ่งมาทราบข้อมูลตอนหลังแล้วยิ่งยืนยันคำนี้ได้   
            

      ทราบข้อมูลจากคุณประสาทว่า ท่านเป็นประธาน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นประธานอะไร คุณประสาทแนะนำว่า ฤาษีเป็นคนเขียนประวัติตระกูลแซ่ตง  ท่านก็เลยควักนามบัตรออกมาให้  อ่านดูแล้วถึงกับอึ้ง เพราะในนามบัตรเขียนบอกว่า
           อารีย์  ภู่สมบุญ
          ประธานกิตติมศักดิ์ถาวรตระกูลผู่ใหหนำสากล
          ประธานคณะกรรมการกองทุนการศึกษาตระกูลผู่ใหหนำสากล
          ประธานกรรมการบริหารโรงเรียนโหลฟง เมืองเหวินชาง
          ประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชน
          กรรมการหอการค้าไทย - จีน
          อุปนายกสมาคมใหหลำแห่งประเทศไทย
          ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอารีย์  

          ไอ๊หยา...อั๊วซี้เลี้ยว  ตายแน่ๆๆ  ใครจะไปรู้ว่า ก๋งอารีย์เป็นมหาเศรษฐีระดับต้นของประเทศไทย  มีทรัพย์สินหลักหมื่นและเป็นผู้ที่มีผลงานชีวิตทำความดีต่อประเทศไทยมากมาย 
          จึงค่อยกระมิดกระเมี้ยนเรียนถามก๋งอารีย์ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัวว่า  ทำไมถึงเรียกประธาน   
         ท่านเล่าว่า ท่านเป็นผู้รวบรวมทำเนียบเชื้อสายสาแหรกของตระกูลแซ่ผู่คนแรกของทั้งโลกนี้ ทุกคนในตระกูลท่านจึงให้เกียรติยกย่องท่านเป็นประธาน ส่วนประธานอื่นนอกนั้นเป็นผลจากการทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งมีมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อว่า ในชีวิตหนึ่ง คนที่ประกอบคุณงามความดีอย่างแท้จริงมาตลอดชีวิตจะมีอยู่ในประเทศไทย
           ที่สำคัญอีกอย่าง ท่านเป็นประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนาผู้นำธุรกิจและชุมชน  ( YCL) ซึ่งตัวฤาษีเองก็เข้าอบรมรุ่นแรกของประเทศที่สกลนคร      เมื่อวันที่ ๒ - ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖  พูดง่ายๆ ประธานกับลูกศิษย์เพิ่งเจอหน้ากันวันนี้

           ประวัติต้นตระกูลแซ่ผู่นั้นได้รับบัญชาแต่งตั้งให้เป็นนักปกครอง ( เปรียบเหมือนผู้ว่าราชการจังหวัด) มาปกครองเกาะใหหนำเมื่อ ๑๒๐๐  ปีที่แล้ว จำนวน ๔ ท่าน 
          ดังนั้น การที่องค์กษัตริย์คัดเลือกคนที่เฉลียวฉลาด มีสติปัญญามาก  และเชี่ยวชาญเก่งในการปกครองมารับราชการที่ใหหนำ  ทำให้คนใหหนำเป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลม ตามเผ่าพันธ์ของตระกูลสืบกันมา 
         ในประเทศไทยมีแซ่ผู่ที่กระจายแตกสาขาอยู่มากกว่า ๗๐๐  นามสกุล   และมีคนแซ่ผู่ทั้งโลกนี้จำนวนมากกว่า ๓  แสนคน

ป้ายสุสานในหมู่บ้านแซ่ตง หรือ บุ่นสิวโพสุย
        ดังนั้นการจะเสาะหาคนในเกาะใหหนำจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก  เพราะทางราชการได้ทำทำเนียบแต่ละแซ่ไว้อยู่แล้ว  ก๋งอารีย์บอกว่า ควรจะทำศาลบรรพบุรุษ หรือ ซีโด ไว้ที่สกลนคร  และป้ายที่สุสานสามารถจะบอกลำดับลูกและญาติได้ว่ามีลูกกี่คน ใครบ้างชื่ออะไร  ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ฤาษีรู้สึกดีใจมาก
                 เพื่อให้เกิดความสะดวกในการตามหาหมู่บ้านแซ่ตง ก๋งอารีย์ได้บอกให้คุณประสาทส่งรูปภาพป้ายสุสานของก๋ง ตงซีกิว จากโทรศัพท์มือถือไปให้ทางเกาะใหหนำได้ค้นหาหมู่บ้านแซ่ตงไว้ก่อน  ทำให้ความหวังที่จะค้นพบหมู่บ้านแซ่ตงดูจะเรืองรองขึ้นมาในใจและอดดีใจล่วงหน้าไม่ได้
                 เวลา ๐๖.๓๐ น. ไกด์ทัวส์ของบริษัทเป็นคนจีนใหหนำประจำประเทศไทย ชื่อ คุณน้อย ได้ยื่นเอกสารและโหลดกระเป๋าให้ทุกคน เป็นการอำนวยความสดวกตามหน้าที่ คุณน้อยพูดไทยได้เก่งมาก
                       เวลา ๐๗.๐๐ น.เสร็จพิธีการแล้ว คุณประสาทและคุณศิริพร ได้พาเดินนำหน้าเข้าไปประตูตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทย  การตรวจพาสปอร์ตนั้นง่ายมากเพียงแต่ ไปยืนเข้าคิว พอถึงคิวเราก็ยืนให้ตรงกล้อง    ไม่รู้ตรวจสอบหลักฐานตัวเลขอะไรก็อกๆ แก๊กๆ ดูหน้านิดหน่อย แล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  เสียอย่างเดียว  ตม. แปลว่า ตูไม่มียิ้ม  ฮะฮะ


               ผ่านจาก  ตม.เอกสาร คราวนี้มาตรวจหาอาวุธและสารเสพติด  ขั้นตอนนี้วุ่นวาย ทุลักทุเลมาก เพราะต้องถอดสร้อย แหวน  นาฬิกา  โลหะ  พระเครื่อง รองเท้า กระดาษฟอยส์ก่อนเดินลอดผ่าน  "ซุ้มประตูร้องร่ำคร่ำครวญ" หรือประตูนิรภัย พอเดินผ่านมันก็  ร้องร่ำคร่ำครวญ  อีก  จึงต้องถอดสารพัดชิ้นส่วน   รวมทั้งเงินเหรียญทุกเหรียญ  โอ้ !!!  ช่างวุ่นวายยุ่งยากจริงหนอ  ที่นี่วุ่นวายหนอ  แต่ก็น่าเห็นใจ เพราะตรวจขนาดนี้ยังแอบขนยาเสพติดเข้ามาได้อีก  
สนามบินสุวรรณภูมิ

                    ผ่าน ตม. ตูไม่มียิ้ม และซุ้มประตูร้องร่ำคร่ำครวญวุ่นวาย มาแล้ว  ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวกันใหม่  คราวนี้ทั้งฝรั่ง แขก ข่า จีน ไทย พากันคาดเข็มขัด  มัดเชือกรองเท้า  คว้ากระเป๋ามาจัดใหม่ แล้วเดินโบกมือบ้ายบายไปจ๊ะเอ๋กับรูปปั้นตำนานการกวนน้ำอมฤตจากทะเลน้ำนมเกษียรสมุทร  ที่มีผู้บอกว่า รูปปั้นเทวดาช่างอ้อนแอ้นเอวบางร่างน้อย......แต่พ่อยักษ์ของเราตัวใหญ่ล่ำสันท่าทางทะมึนขึงขัง  แล้วเทวดาจะชักเย่อไหวหรือ บ่งบอกครับ...บ่งบอก
               เดินไปทางออกประตูขึ้นเครื่องบิน D8  เดินจนขาลากกว่าจะถึง  (แค่นี้ทำบ่น ไปถึงจีนจะหนาว) แต่ก็สนุกสนานดี วันนี้ถ่ายรูปมากมายหลายรูปเพลิดเพลินเจริญใจ  จนเวลา ๐๗.๔๐ น. มานั่งพักรอขึ้นเครื่องบิน   ระหว่างนี้ฆ่าเวลาด้วยการจดบันทึก

              ระหว่างนั่งรอมีสาวสวยหมวยกุมารีจีนเดินมาเก็บตั๋วขึ้นเครื่องบิน มองดูตั๋วแล้วได้เลขที่นั่ง ๓๙K ช่างเป็นเลขมงคลอย่างยิ่ง  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ก่อนเดินไปขึ้นเครื่องได้แอบชะแว๊บเข้าไปลดน้ำหนักก่อนตามธรรมเนียม  ปวดไม่ปวดก็ต้องเข้าเพื่อจะได้บอกชาวบ้านว่า เคยมาปัสสาวะที่นี่แล้ว  จากนั้นเดินต่อแถวกันไปเข้างวงช้างต่อเข้าประตูเครื่องบิน  ตามประสาฤาษีเบิ่งตามองดูนาฬิกา ต้องบันทึกไว้ว่าเท้าเหยียบเครื่องบินเวลา ๐๘.๒๕ น. เมื่อหาที่นั่งได้แล้ว เก็บสัมภาระ ทุกคนรัดเข็มขัด รอเวลาเหาะเหิรเดินอากาศไป  กว่างเจา  

                  เวลา ๐๘.๔๐ น.  พนักงานบริการบนเครื่องบินก็ให้คำแนะนำเป็นภาษาจีนและอังกฤษ ประมาณว่าขอต้อนรับบินไปกับสายการบินไชน่าแอร์ไลน์  ขอความกรุณาให้รัดเข็มขัด และอย่าดูดบุหรี่ ทุกอย่างที่เธออธิบายมาฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่องสักคำ มองดูหน้าตาของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแล้วไม่มีผู้สาวน้อยสักคน มีแต่ผู้สาวใหญ่วัยฉกรรย์ทั้งน้านนนน....

              เวลา ๐๘.๔๕ น. เครื่องบินเริ่มแท็กซี่เคลื่อนไปตั้งต้นที่หัวสนามบินหรือที่เรียกว่า  Run Way  พร้อมกับปรับความดันอากาศ และเร่งความเร็วรอบเครื่องยนต์ให้หมุนติ้วจัดๆ  พอได้กำหนดเวลา  เครื่องบินลำใหญ่ก็ทะยานไปข้างหน้า เริ่มเหิรฟ้าเวลา ๐๙.๐๐ น.พอดี   ความที่เครื่องยกตัวไต่ระดับแรงกระชากบนฟ้า  ทำให้ฤาษีผู้ตื่นแต่ดึก เพราะตื่นเต้นจะได้ไปเมืองนอกตามประสาคนบ้านนอกเผลอหลับไปตอนใดไม่รู้
                   บนเครื่องบินทุกคนเงียบและงีบกันทั้งลำ อากาศเย็นนิดหน่อย ต่างคนต่างหลับยาวไม่รู้ตัวว่าเครื่องบินขึ้นตอนไหน ดูเวลาเข้าไปเก้าโมงครึ่งแล้ว
        คราวนี้น้องหมวยทั้งหลายซึ่งเธอก็สวยดี แต่เธอไม่ยอมยิ้มเลย เธอต้องผ่านการฝึกเป็น Miss china Bood  มาแล้ว พากันลำเลียงหูฟังมาแจก นัยว่าเสียบเข้ารูหูแล้วจะรู้เรื่องภาษาจีนที่เป็นเพลง เมินเสียเถอะอี่นางน้อย....
           จากนั้นเหล่าอาหมวยนำอาหารมาให้รับประทานเป็นชุดใหญ่ มีอาหารมากมายหลากหลาย ทุกคนพูดจีนบ้างอังกฤษบ้าง

                     โชคดีอาจารย์ปรีชากับก๋งอารีย์ท่านพูดจีนได้คล่องแคล่วมาก  ฤๅษีเจ๊กโคกได้แต่ยิ้มแหย ๆ สาวเสริฟถามว่ามีไก่กับหมูเอาอะไร ฤๅษีกินไก่ (Chicken)เลยได้พะแนงไก่,ผักคะน้าลวก,ข้าวกล้อง ขนมปังอีกก้อน เนย 1 แพ็ค ไก่อบราดซอสพริกมักกะโรนี ผลไม้ไทยมี ๔ชนิด คือ มะละกอ สับปะรด แคนตาลูป และแตงโม แถมชอคโกแลต น้ำมะเขือเทศ ตบท้ายล้างปากล้างคอด้วยกาแฟผสมเสร็จรสชาติกลมกล่อมละไมละมุนนุ่มลิ้น

       ขอชื่นชมว่าอาหารอร่อยมากๆๆ ถ้ามีโอกาสก็จะมากับไชน่าแอร์ไลด์อีก เผื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ .....จริง ๆ นะไม่ได้พูดเล่น 555
            เสร็จจากเรื่องกินก็เรื่องเยี่ยวกับเรื่องขี้ คราวนี้ พอน้องหมวยเข็นรถมาเก็บถาดอาหารการกินไปหมดแล้ว เครื่องบินก็อยู่ตัวนิ่ง คราวนี้แทบทุกเริ่มลุกคนนั้นก็ลุก คนนี้ก็ลุก ขยับไปเข้าห้องน้ำ คนอยู่ทางเดินก็โอเค แต่คนอยู่ข้างในติดหน้าต่าง จะออกมาก็ต้องลุกพร้อมกันทั้งสามคน  ขยับทางให้ทั้งตอนขาเข้าและออก ขยับกันมากมายหลายคนนับสิบครั้ง
         ทั้งฝรั่ง แขก จีน ไทย กินอะไรเข้าไป
    ก็ปวดเยี่ยวปวดขี้ทั้งนั้น  สัจธรรมจริงๆ

            เนื่องจากจีนมีเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ดังนั้น นาฬิกาข้อมือไซโก้ซื้อใหม่ของฤาษีจึงมีเวลาแค่  11.25 น. แต่ความจริงต้องเพิ่มไปอีก 1 ชั่วโมงจึงกลายเป็นเวลา  12.25 น.  ตามตารางที่กำหนด เรื่องนี้ถ้าอาจารย์ปรีชาไม่บอก ฤๅษีจะงงมาก ข้อยบ่ฮู้ ข้อยเป็นเจ๊กโคก 
             เวลา  12.25 น. (นาฬิกาข้อมือ 11.25 น. ) ถึงสนามบินกว่างเจา สนามบินใหญ่โตมาก มองดูสุดลูกตา  ว่าสุวรรณภูมิใหญ่แล้ว  ที่นี่ยิ่งไม่น้อยหน้า อากาศดูครึ้มฝน เครื่องบินแท็กซี่ไปยาวนานมาก ผ่าน ตม. ซึ่งมีมากมายหลายช่อง ก็ไม่ได้เคร่งครัดมาก แต่ยิ้มยากทุกคน เพราะเป็นธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมหรือเปล่า

         จากนั้นรอรับกระเป๋าตามสายพานวนไปมาแย่งกันเอากระเป๋า แล้วขนเอาไปเอ็กซเรย์ จากนั้นกระเป๋าก็แยกไปขึ้นเครื่องการบินในประเทศจากกว่างเจาไปไหโข่วเลยโดยไม่ต้องขนกระเป๋าให้ยุ่งยาก อันนี้ดีมาก  ส่วนคณะทัวส์ทั้งหมดก็เดินสองขาไปตามอาคารสายการบินในประเทศ ซึ่งขอบอกว่าใหญ่โตมากๆๆๆ
              ตอนนี้จำเป็นต้องขี่รถไฟฟ้าแบบสนามกอล์ฟ เพราะระยะทางไกลมาก  รถคันใหญ่บรรทุกผู้โดยสารได้เยอะแยะมาก จ่ายคนละ 60 หยวน ประมาณ  300 บาท โชเฟอร์ชื่อ เกาซุง ไอ้หมอนี่เราชวนคุยและว่ามันขับซิ่งมาก   มันยิ่งได้ใจ ขับไปฝ่ากลุ่มคนที่กำลังเดินอยู่มากมาย  คนดินต้องหลบมันซิ่งได้ใจวัยรุ่นมาก  เดี๋ยวโฉบซ้าย เดี๋ยวโฉบขวา  ขนาดมันเกาซุง ถ้ามันเกาแขน เกาขา  เกาตูด  จะขนาดไหน

            จากนั้นเราก็ต้องเดินอีกไกลมากเป็นหลายร้อยเมตร ประเทศจีนทำอะไรก็ใหญ่ไว้ก่อน เกาซุงขับซิ่งผ่านร้านค้า ผ่านร้านอาหาร หนังสือ ก็ดูคล้ายกับบ้านเรา แต่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ  จัดร้านได้โอ่โถงมากมายกว่าหลายเท่า อันนี้ไม่ได้แกล้งว่านะ  แต่สงสัยราคาที่สุวรรณภูมิจะแพงกว่า
เป็นมงคลกับชีวิตฤาษีมาก  นับถือท่านเป็นไอดอลเลยครับ
            ผ่านการตรวจพาสปอร์ต วีซ่าแล้ว เดินเข้ามาจนถึงเครื่องบินจากกว่างเจาจะไปไหโข่ว ได้ที่ 40 k นั่งติดกับก๋งอารีย์  ท่านเห็นเราตั้งเวลานาฬิกา ท่านก็เลยตั้งเวลานาฬิกาโรเล็กซ์รุ่นแรกบ้าง  ท่านเล่าว่า ซื้อเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้วราคา ๔๐๐๐บาท  บริษัทโฆษณาชวนชื้อด้วยการเอาไปแช่ในทะเลน้ำเกลือเค็มที่บ่อเลี้ยงหอยนางรม 1 ปี ก่อนเอามาใช้งาน  ดูแล้วสภาพดีมากไม่เสียหาย ก๋งอารีย์เลยซื้อไว้ใช้  ราคา ๔๐๐๐  บาทสมัยนั้นแพงมาก เพราะยี่ห้ออื่นไม่กี่ร้อยบาท

          เวลา14.00 น. เครื่องออกจากกว่างเจา หรือกว่างโจว เดินทางไปสนามบินไหโข่ว คาดว่าถึงเวลา 15.15 น.  เครื่องบินลำใหญ่ ใหม่สดสภาพยังดี คนจีนเรียกเมืองไหโข่วชัดเจนนั่งบนเครื่องได้ 30 นาที คราวนี้ถึงเวลาพนักงานแจกน้ำ ขนมให้รับประทานกัน คนแจกเป็นชายหญิงอัธยาศัยไมตรีดีมากยิ้มแย้มแจ่มใส  อย่างนี้ละมั้งขนมอร่อยดีกว่าเดิม
         เวลาบ่าย 15.20 น.  ถึงสนามบินไหโข่ว  ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมากๆๆๆๆ   ประเทศจีนทำอะไรก็ใหญ่ไว้ก่อน  คิดใหญ่ทำใหญ่  ใครคิดเล็กก็ทำเล็ก  หลังจากผ่านพิธีการในสนามบินซึ่งก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่  รับกระเป๋าเสร็จแล้วเดินเกาะกลุ่มกันออกไปที่ประตูท่าอากาศยานไหโข่ว
        เวลา14.00 น. เครื่องออกจากกว่างเจา หรือกว่างโจว เดินทางไปสนามบินไทโข่ว คาดว่าถึงเวลา 15.15 น.  เครื่องบินลำใหญ่ ใหม่สดสภาพยังดี คนจีนเรียกเมืองไหโข่วชัดเจนนั่งบนเครื่องได้ 30 นาที คราวนี้แจกน้ำ ขนมให้รับประทานกัน คนแจกเป็นชายหญิง ดีมากขนมอร่อยดี
        เวลาบ่าย 15.20 น.  ถึงสนามบินไหโข่ว  ไกด์ชื่อจีน หยุนเชาฉุน   (YUN CHAO QUN) แซ่หยุน คำว่าหยุน แปลว่า เมฆ  เชาฉุน แปลว่า  ผู้นำกลุ่ม หรือ หัวหน้า ภาษาอังกฤษหมายถึง  Superman คณะทัวส์ไทยคณะหนึ่งจึงตั้งให้ว่า ยอดชาย  
        คุณยอดชายได้อธิบายว่า  คำว่า  ห แปลว่า ทะเล  โข่ว แปลว่า ปาก       ดังนั้นคำว่า ไหโข่ว จึงแปลว่า ปากทะเล
            ส่วนสนามบินแห่งนี้ได้รับฉายาว่า เหม่ยหลาน แปลว่า กล้วยไม้สวยงาม  สร้างเมื่อปี 1999 เกาะไหหลำ เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลไห่หนาน    

       ต้นไม้ประจำเกาะไหหลำ คือ ต้นมะพร้าว ซึ่งปลูกเต็มมากมายทั้งเกาะ  ราคามะพร้าวสำหรับนักท่องเที่ยวลูกละ  20  หยวนหรือ 100 บาท ส่วนค่าเงินจะมีธนบัตรฉบับละ 100,50,20,5,2 หยวน   ไหหลำแต่งตัวแตกต่างจากชาวต่างชาติที่มาสังเกตได้ง่าย มิ๗ฉาชีพตาแหลมคม จึงต้องให้ระวังกระเป๋าให้ดี
             การสะพายกระเป๋ามี สไตล์การพายเป็นอุทาหรณ์ 3 แบบ คือ สะพายไว้ ด้านหน้าเป็นกระเป๋าของเรา  สะพายไว้ด้านข้างหมายถึงแบ่งกับโจรคนละครึ่ง  แต่ถ้าสะพายด้านหลังเป็นของโจรทั้งหมด
         เมืองไหโข่วเริ่มแรกในการพัฒนาเมืองมีสิ่งปลูกสร้างอาคารสูงสุด 7  ชั้น แต่ในปัจจุบันนี้มีอาคารสูงอยู่ถึง  48  ชั้น
            สำหรับการเช็คอินพักในโรงแรมให้ระวังน้ำและเครื่องดื่มในตู้เย็นคิดเงินทั้งนั้น  แม้แต่ฉลากข้างกระป๋องก็อย่าแกะฉลากออกมาเพราะจะคิดเงินทั้งหมด

       ไหหลำมีอาหารมากมาย ขนมจีน ไก่ แพะ ปู เป็ด  อาหารทะเลพอๆ กันกับ
เมืองไทย  ระยะทางจากเกาะด้านเหนือไปใต้ 300 kg  วัดที่เมืองซานย่า 
สำหรับอากาศเท่ากันกับประเทศไทยราว 32 องศา แต่วันนี้มีฝนตกที่เหวินชาง

  ที่นี่ใช้ภาษาจีนกลาง แต่มีภาษาถิ่นอีก เช่น ไหหลำ , ลี้
  บ้านโบราณสมัยนี้ถ้าสร้างใช้ไม้ต้องจ่ายประมาณ 2 ล้านบาท

ที่ไหหลำที่ดินแพงมากเพราะเมื่อ 2 ปีที่แล้วรัฐบาลประกาศเป็นเมืองท่องเที่ยวสากลทำให้ที่ดินแพง

เมืองไหโข่ว 2 ล้านคน ทั้งเกาะประมาณ 8.7 ล้านคน

เกาะไหหลำขึ้นมากับสมัย ฮั่นหวูตี้ ประมาณ  เกือบ  2000  ปี

        เมืองที่น่าอยู่  10  เมืองแรกตามลำดับคือ  1 = คุณหมิง , 2 = เฉินตู , 3 = ไหโข่ว ...แต่ข้อมูลนี้ยังไม่อัพเดต   เพราะข้อมูลเมืองแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ประกาศเมื่อปีที่แล้วมีดังนี้

เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2554 สมาคมวิจัยศึกษาความสามารถในการแข่งขันของเมืองแห่งประเทศจีน  มหาวิทยาลัยจิ้นหุ้ยของฮ่องกงและศูนย์วิจัยศึกษาจีนยุคปัจจุบันได้ร่วมกันประกาศ ผลการจัดอันดับเมืองดีเด่นในด้านต่างๆของจีนโดยนครเฉิงตู (มณฑลเสฉวน) ครองอันดับที่ 2 เมืองแห่งความสุขและรั้งอันดับที่ 4 เมืองแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม

สมาคมวิจัยศึกษาความสามารถในการแข่งขันของเมืองแห่งประเทศจีน ให้ทัศนะว่า ความรู้สึกที่เป็นสุขในเมืองก็คือ ความมั่นคง ความพึงพอใจของพลเมือง ตลอดจนความมีชื่อเสียงและความเป็นสากลในเมืองนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลเมืองทั่วไปสามารถรู้สึกได้ถึงความน่าอยู่น่าอาศัย มีการมีงานทำ มีวัฒนธรรมพื้นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์และสภาพแวดล้อมที่สวยงามร่มรื่น
 
การจัดอันดับเมืองแห่งความสุขของจีนปี 2554
การจัดอันดับเมืองแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยมของจีนปี 2554
1.หางโจว
1.ฮ่องกง
2.เฉิงตู
2.เซี่ยงไฮ้
3.ชิงเต่า
3.หางโจว
4.ฉางชุน
4.เฉิงตู
5.ฉงชิ่ง
5.จูไห่
6.เจียงอิน
6.จี่หนาน
7.หนานจิง
7.จี๋หลิน
8.ฮุ่ยโจว
8.อวี้ซี
9.ฮ่องกง
9.จางเจียกั่ง
10.ซูโจว
10.ฉางโสว

          เวลา  15.20 น.เดินทางมาพักที่โรงแรมซินหยวน (จีนกลาง) ภาษาไหหลำเรียกว่า  โรงแรมก้ำหยวน     แยกเข้าห้องพัก มีคณะกรรมการสมาคมชาวจีนแซ่ผู่ คณะกรรมการอดีตเลขาสมาคมแซ่ผู่ใหหนำสากลมารับคณะมากมายหลายคน และท่านเหล่านี้ได้สอบถามหมู่บ้านบรรพบุรุษแต๊ต๋งไว้รอก่อนแล้ว ช่างน่าปลาบปลื้มใจมาก 
ข้อมูลที่ทุกท่านหามานั้นได้มาจากภาพถ่ายของคุณประสาทถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือส่งมาให้ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว  

          คืนนี้ฤาษีพักอยู่ห้อง  1207  สภาพห้องดีกว่าถ้ำวิสุทธิมงคลภูเพ็ก
อย่างมาก  นัยว่า  4  ดาว


ภัตราคารอาหารชื่อดังมากที่สุดของเมืองนี้
ตั้งมาจากรุ่นคุณพ่อสู่คุณลูกนับอายุได้ ร้อยกว่าปีแล้ว

        เวลา 17.50 ออกจากโรงแรมมากินอาหารเย็นประเภทไก่และอาหารอื่นที่ร้านอาหารประเภทไก่ที่เก่าแก่ที่สุดของไหโข่ว ร้านนี้ว่ากันว่าเป็นร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดและโด่งดังที่สุดในไหโข่ว สืบต่อธุรกิจมรดกจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก นายกรัฐมนตรีของไทยหลายท่านเคยมาที่นี่
         เราต้องขึ้นลิฟท์ขึ้นมาถึงชั้น ๓ แล้วแยกเข้าห้องขนาดใหญ่ มีโต๊ะอยู่หลายโต๊ะ  แต่เพื่อบรรยากาศที่สนุกสนานและสมานน้ำจิตมิ่งมิตรไมตรี จึงขอให้มารวมกันที่โต๊ะเดียว  มีแขกก๋งอารีย์มารับทานอยู่ประมาณ 7 - 8 คน  ซึ่งก็คือคณะกรรมการของตระกูลผู่และผู้ใหญ่ที่สนิทชิดเชื้อกัน  นัยว่าเป็นการให้เกียรติมาต้อนรับคณะเราด้วย

           หลังจากการสั่งอาหารซึ่งมีแต่ของอร่อยที่ฤาษีอยู่ตามป่าไม่ค่อยจะได้รับทาน  นานครั้งฟ้าจะมีตาประทานมาให้   คราวนี้ ทางร้านส่งสาวเสริฟมาก่อน เธอบรรจงแจกถ้วย จานรองตะเกียบ และวันนี้มีพิเศษ  เธอเอาแก้วเล็กมาเรียงต่อแถวและรินเหล้าหมักอย่างดีลงแก้วอย่างพิถีพิถัน เป็นเหล้าหมักเหมือนสาโทแรงมาก  กลิ่นหอม ค่อนข้างดีกรีแรง กรึบเดียวซ่านไปทั้งตัว แล้วรินมาวางไว้ด้านหน้าฤาษีกับป๋าปรีชา ฮ่า!!!  ช่างรู้ใจจริงนะอี่นาง   เธอบอกด้วยสายตาว่า  เพื่อเป็นการปลุกพยาธิให้ลุกมาทำหน้าที่  จุ๊กกรู.....

         จากนั้นอาหารจานแรกที่เคยฝันใฝ่อยากพบหน้ามานานก็มาถึง  สองจานยักษ์ น้องไก่เหวินชาง  ไก่ใหหนำแต้ ๆ หน้าตาสีสรรสดใสเห็นแล้วน้ำลายสอตั้งแต่นำมาวางแล้ว  
          ก๋งอารีย์บอกทุกคนว่า ไม่ต้องเกรงใจให้เสียเวลาแห่งความสำราญ  ว่าแล้วจอมยุทธให่หนานและจอมยุทธไท่กั๋ว ต่างยกตะเกียบเล็งแลไปที่ น้องไก่กุ๊ก ๆ ทุกคีบหมับขยับยกมาจ่อที่ปาก แล้วค่อยบรรจงงับลงไปอย่างเชื่องช้า ละเลียดลิ้นและฟันหลับตาพริ้ม  ให้รสชาติจากเนื้อน้องไก่เหวินชางค่อยซึมซ่านเข้าไปทั้งลิ้นปากก่อนไหลลงลำคอ  
          โอ้...กลิ่นกรุ่นไก่เอาะๆ ละไลละมุน ช่างหอมกรุ่นหวนทวนซ่านในปาก  อร่อยเสียจริงยิ่งกว่าอะไร!!!!ตามด้วยผัดผักเหมือนใบมันเทศ  ไม่รู้ว่าผัดอย่างไร แต่ได้กลิ่นสดๆ จากผักที่คลุกเคล้ามาไม่มีเลี่ยนเลย กรุบกรอบเข้าที่ดีมาก   น้องหมวยยกจานเปลยักษ์เข้ามาดูแล้วเป็นปลิงทะเลผัดกับอะไรอีกหลายอย่าง  รู้แต่ว่าเป็นยาบำรุงอย่างดี แก้โรคจุ๊กกรูล่มสลายได้ดีนัก จานนี้ ฤาษีกับป๋าปรีชาล่อกันคนละหนุบละหนับ  ว่างเป็นขยับจับตะเกียบกับแก้วสุราหมักพันปีไม่ปล่อยวาง   ฮา..

      ที่ไปคราวนี้ใครพลาดไม่ชิมต้มซุปถั่วใส่ขาหมูเปื่อยจะเสียใจแย่  ไม่รูว่าตุ๋นออกมาได้อย่างไร  ขาหมูเหมือนละลายเพียงแค่ขยับลิ้น น้ำซุปร้อนๆ เลื่อนไหลลงไปลำคอ  ดูเหมือนเกิดพลังเร้นลับหมุนเวียนทำให้ซ่านซ่าไปทั่ว จุดตั้งซังเปิดให้ลมปราณลื่นไหลไม่ติดขัด  มองดูเหงื่อซึมหมาด ๆ  นี่แหละรสชาติเดิมๆ ของอาหารจากบ้านก๋ง  มันต้องจั่งซี้แหม่...

     ผัดหมี่ทรงเครื่อง ผัดขนมจีน (ข้าวปุ้น)ใส่ซีอิ้ว ปลาโอตัวดำนึ่งซีอิ๊ว อื่น ๆ มากมาย    กลับมาจากร้านอาหารถึงโรงแรมกั้มหยวน 3 ทุ่มกว่าต้องลงอาบน้ำร้อนนอนแช่หลับสลบไสลในอ่างเป็นชั่วโมง  ตื่นมาเช็ดตัวแห้งแล้ว ค่อยคลานขึ้นเตียงใหญ่  นอนฉายเดี่ยวที่โรงเตี้ยมก้ำหยวน สลบไสลหลับไป.......ผีจิ่ว...ผีจิ่ว...โอ้...ผีจิ่วววววววๆๆๆๆๆๆๆ..........

         สำหรับคืนนี้  อุตุนิทราราตรีสวัสดิ์

    Good Night der ...ให่หนาน...
    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น