วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตอนที่ ๙ โรงเรียนโบคง หรือ โหลฟง




ที่หมู่บ้านเบ้าโหล  คณะรถตู้ของเราได้เดินทางมาผ่านกลางหมู่บ้าน  สังเกตุเป็นอาคารคอนกรีตขนาดใหญ่ แต่ดูเหมือนทิ้งร้าง ไม่ค่อยมีคนมากมายนัก  ดูสภาพเหมือนผู้คนจะหายไปจากหมู่บ้าน ไปหางานทำหรือไงไม่เข้าใจ


รถตู้ของคณะเราเลี้ยวขวาไปด้านหลังโรงเรียน ต้องรีบยกกล้องถ่ายไว้ กำแพงเหมือนกับในหนังกำลังภายในเลย ตลอดหลังคาก็เหมือนกันทุกประการ ใจคิดว่า จะเจอ วัดเส้าหลิน ตอนเลี้ยวซ้ายหัวมุมถนนแน่ๆ  บางคนอาจสงสัยว่า ทำไมประเทศจีนยังนิยมใช้อิฐ  กระเบื้องทำหลังคา เหตุผล เพราะที่ไหหนำนั้นมีฤดูมรสุมอยู่ตลอดปี  ด้วยธรรมชาติเป็นเกาะ หากใช้ไม้ทำสิ่งปลูกสร้างคงผุพังอย่างรวดเร็วแน่นอน ด้วยภูมิปัญญาแบบดั้งเดิมจึงต้องใช้ดินเผา  กระเบื้อง  ดีที่สุด
 


               แต่ความคิดนี้ผิดถนัด เพราะเรากลับเจอเสาไฟฟ้า ที่ออกแบบมาอย่างดีเหมาะสมกับงาน สภาพภูมิประเทศของประเทศจีนและให่หนำ  
           เหมาะสมอย่างไร  ให้ดูเสาไฟฟ้านี้เป็นแบบอย่าง  ยอดเสานี้ใช้ไฟฟ้าธรรมชาติอยู่ 2 ระบบ คือ พลังงานแสงอาทิตย์ กลางวันจะเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์มาบรรจุไว้ใช้กลางคืน  ขณะเดียวกันเมื่อมีพลังลมพัดมาก็จะหมุนใบพัดเก็บเอาพลังไฟฟ้ามาบรรจุไว้เหมือนกัน  และไม่จำเป็นที่ต้องมีเสาไฟฟ้า และสายไฟเลย  ประเทศไทยน่าจะเอาเป็นแบบอย่างมากที่สุด


เมื่อรถเราขับมาถึงโรงเรียน
 เราเห็นป้ายประตูรั้วโรงเรียนขนาดใหญ่  
ทาสีเหลืองตัวหนังสือสีทอง  เสียดายที่อ่านไม่ออก
ประตูดูเรียบง่ายแต่คงหมายถึง หนังสือ 3 เล่ม
ตอนนี้ไม่รู้ความหมายที่ชัดเจน ต้องขอเวลาให้ผู้รู้ช่วยอ่านสักระยะหนึ่งก่อน
เมื่อรถของเรามาถึงโรงเรียนที่ก๋งอารีย์เป็นประธานกรรมการ และเป็นผู้พัฒนาให้โรงเรียนนี้เจริญรุ่งเรือง  เราได้เห็นอาคารเรียน สิ่งปลูกสร้างที่สะอาดสอ้าน ขนาดใหญ่  บริเวณโรงเรียน  กว้างใหญ่ติดท้องน้ำใหญ่มองเห็นไกลๆ    มีป้ายสีแดงตัวหนังสือจีนสีเหลือง  คงเป็นคำกล่าวต้อนรับผู้มาเยือน 
 สภาพโรงเรียนดูโล่้ง โปร่งสะอาด  สนามหญ้าเขียวงาม 
 เราไม่เห็นเศษกระดาษแม้แต่ชิ้นเดียว

 


 
อาคารสี่ชั้นหลังนี้ เป็นผลงานของก๋งอารีย์ที่เข้ามาระดมทุนก่อสร้างไว้ให้โรงเรียนบ้านเกิด ด้วยตัวท่านต้องอพยพจากให่หนำมาอยู่ประเทศไทยตอนอายุยังน้อย  เมื่อมีมีธุรกิจการงานฐานะมั่นคงดีขึ้นแล้ว จึงกลับไปช่วยบ้านเกิดเมืองนอน นับเป็นความกตัญญูต่อแผ่นดินบ้านเกิดอย่างยิ่ง   สุดจะหาคำบรรยาย  ขอแสดงความเคารพนับถือด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้ง
 
บริเวณลานโรงเรียนมีไก่เหวินชางที่เลี้ยงแบบปล่อยให้หาอาหารกินเอง  มีเมล็ดพืช ยอดหญ้า  อากาศก็เย็นสบายดี ทำให้ไก่เหวินชางหรือไก่ใหหลำมีเนื้อที่อร่อยมาก  ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นพันธ์อะไร  แต่อ้วนท้วนสมบูรณ์มาก  จินตนาการไปเห็นวางอยู่ในจานแล้ว  น่าอร่อยมาก น้ำลายไหล  ๓  หยด 
 



 




 
 
ครั้งแรกที่เห็นไก่ตัวอ้วนพี  เราก็อยากได้ภาพ
จึงเดินตามเข้าไปดูใกล้ๆ  ไก่ตื่นเจ๊กโคกเดินสามัคคีหนีไป  กุ๊กๆ  อย่างไรก็ไม่ยอมมา 
 ถ้าจะไปต่อก็กลัวคนหาว่าเป็นพระลอตามไก่  เลยถ่ายมายั่วน้ำลายคนชอบทานข้าวมันไก่แค่นี้
 
 
 

 
 
  คณะกรรมการโรงเรียนเชิญคณะของเราเข้าไปนั่งพักในอาคารเรียน  ก๋งอารีย์มีครูใหญ่ ครูน้อย เข้ามาทักทายแสดงความคารวะมากมายหลายท่าน   ดูแล้วก๋งมีความสุขใจในการสร้างโรงเรียนนี้อย่างมาก  เพราะสุดท้ายคนเราก็ต้องคิดถึงความภาคภูมิใจในผลของคุณงามความดีที่ท่านได้ทำไว้ในบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน






หลังจากสนทนาวิสาสะ กันไปพอสมควร ครูใหญ่ได้มอบหนังสือให้คณะเราคนละชุด  ซึ่งบอกถึงเรื่องราวการก่อสร้างปรับปรุงโรงเรียนแห่งนี้  เนื่องจากทุกท่านใช้ภาษาจีนทำให้
ฤาษีเกิดการงุนงงอย่างมาก 
กลับไปเมืองไทย จะไปหัดภาษาจีนให้เก่งๆ  สาบาน  ...





 
สนทนาวิสาสะกันพอสมควร คณะคุณครูก็ชวนให้มาถ่ายรูป
ไว้เป็นที่ระลึกที่ได้มาเยี่ยมเยือนกัน 
 
คราวหน้ามีโอกาสก็จะมาอีก  เดี๋ยวแก่แล้วไม่ได้ไป  หรืออยากไปก็อาจไปไม่ได้  สังขารแห่งปัจจัยอาจไม่เหมาะสม ต่อสภาพแวดล้อม  ยกเว้นจะมีเจ้ามือใจดี ฮาฮา.
 
สิ่งที่เห็นในโรงเรียนแห่งนี้ประทับใจหลายอย่าง ทั้งความสะอาด  อาคารสถานที่มีการเอาหุ่นปั้นบุคคลสำคัญในประวัติจีน  หรือผู้ที่เป็นนักปราชณ์ของจีนตั้งแต่ยุคโบราณมาตั้งไว้ให้นักเรียนได้อ่านประวัติ และกระตุ้นความอยากให้เด็กนักเรียนสนใจอยากเอาเป็นแบบอย่าง  เสียดายที่ช่วงนี้เป็นช่วงการปิดภาคเรียน  ทำให้ไม่เห็นการเรียนการสอนว่าเป็นอย่างไร
 
หลังจากชื่นชมโรงเรียนและโบกมือลากันแล้ว
 คณะของเราหันหน้ารถกลับไปที่เหวินชาง.......
ซึ่งอาจมีใครบางคน  รอเราอยู่......