หลังจากคณะเราร่ำลาญาติพี่น้องตระกูลฝู่แล้ว รถตู้ได้พาคณะเราเลาะเลียบตามถนนทุ่งนา
ฝ่าท้องทุ่งที่กำลังเขียวขจีงดงามด้วยต้นข้าวกำลังแตกกอ แล้วตัดขึ้นถนนลาดยางกลับไปที่เมืองเหวินชางอีกครั้งหนึ่ง นัยว่า นัดพบกับคณะกรรมการศาลเจ้าตระกูลฝู่ และญาติพี่น้องของตระกูลฝู่ที่ได้เฝ้ารออยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว
เมื่อรถตู้ไปถึง ภาพที่เห็นเป็นซุ้มประตูทางเข้าที่ยิ่งใหญ่สวยงาม สร้างตามแบบจีนตามตำราที่เป็นมงคล ด้านข้างมีสวนแบบจีนที่สวยงาม เสียดายไม่ได้เข้าไปดู เพราะจิตใจมัวแต่จดจ่ออยู่กับการไปหาบ้านของตระกูล แต๊ต๋ง.....
ซุ้มศาลบรรพชนตระกูลฝู่ ใหญ่โตสวยงามมาก
ทราบมาว่าศาลตระกูลฝู่แห่งนี้มีการตั้งมูลนิธิไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของตระกูลด้วย
เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึง คณะกรรมการของมูลนิธิและเป็นผู้อาวุโสของตระกูลได้เข้าต้อนรับและแสดงความยินดีกับก๋งอารีย์ที่คณะกรรมการทำหน้าที่ค้นหาหมู่บ้าน แต๊ต๋ง ได้สำเร็จตามที่ก๋งอารีย์ขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเรื่องของลูกหลานแต๊ต๋งโดยเฉพาะแต่ท่านก็ยินดีให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
คุณยอดชายที่เป็นไกด์คนจีนได้ทำหน้าที่แปลภาษาให้บอกว่า ทางคณะกรรมการของมูลนิธิรู้สึกยินดีที่มาเยี่ยม และปลาบปลื้มใจที่ทำหน้าที่คนจีนใหหลำด้วยกัน ให้ความช่วยเหลือกันจนพบหมู่บ้านของตระกูล และขอเชิญเข้าไปชม พักผ่อนข้างในมูลนิธิก่อน ซึ่งข้างในนั้นมีรูปถ่ายของบรรพชนตระกูลฝู่มากมาย แต่ละท่านต่างทำคุณงามความดีให้ประเทศชาติสังคมมากมาย
หลังจากผ่านประตูของศาลตระกูลฝู่เข้าไปข้างใน มีป้ายไม้เจาะฉลุลวดลายขนาดใหญ่มาก มีตัวอักษรจีนสีทองเขียนไว้ 2 ตัว
อ่านเป็นภาษาใหหลำว่า ยั๊กตี่นัง โต้วยักตี่เซ่
แปลว่า คนหนึ่ง เวลาหนึ่ง
หมายถึง คนเราเกิดมามีเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด หากไม่ตั้งเป้าหมายว่าจะทำอะไรแล้ว เวลาของคนนั้นก็จะผ่านเลยไป คนๆ หนึ่งก็มีเวลาเป็นของตนเอง ฉนั้นอยากทำอะไรที่คิดว่าดี เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่น สังคมก็เร่งรีบทำซะ..ก่อนจะสายเกินไป
ในศาลตระกูลฝู่มีคนสำคัญคือ ญาติของตระกูลแต๊ต๋ง
ได้มารอรับคณะของเราตั้งแต่เช้าแล้ว ท่านผู้นั้น คือ ตงกวงซ่าน
คุณประสาท ตงศิริ ได้เอาของฝากจากเมืองไทยมอบไว้ให้เป็นการต้อนรับขับสู้กัน จาก คนตงไทย กับ คนตงใหหลำ
ตงกวงซ่าน คนที่ 2 จากซ้ายรูปนี้ท่านมรอายุ 68 ปี
แต่ปี พ.ศ.2556 นี้ ท่านมีอายุ 70 ปี
ตงกวงซ่านเล่าว่า คุณพ่อก่อนเสียชีวิตไม่มีสมบัติใดมอบให้เลยมีแต่ ป๋วย หรือหนังสือบันทึกลำดับตระกูลเล่มเล็กๆ เล่มเดียว สมุดบันทึกนี้ทำจากกระดาษเนื้อหยาบเหมือนกระดาษถุงปูนซีเมนต์ ข้างในมีตัวอักษรจีนที่บอกลำดับญาติตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน และหนังสือหรือป๋วยนี้แหละที่มีความสำคัญอย่างมาก ทำให้ภายหลัง ลูกหลานคนตงทุกคน ต้องตื่นเต้นตกตะลึงในสิ่งที่คาดไม่ถึง จนทำให้ต้องเดินทางกลับไปค้นคว้าหาข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ต้องคอยอ่านตอนต่อไป
คณะกรรมการของมูลนิธิแซ่ฝู่ทุกคน และคณะของเราต่างตื่นเต้นในบันทึกนั้นมาก จึงช่วยกันรุมดู รุมอ่านด้วยความยินดีในเอกสารนี้
เพื่ออยากจะรู้ที่มาของตระกูล คนตง
ก๋งอารีย์ได้เคยบอกผมไว้ว่า คนเราหากไม่รู้ประวัติที่มาของตนเอง จะเหมือนต้นไม้ไม่มีรากแก้ว ขาดแก่นของชีวิต ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น