วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ ๑๐ มูลนิธิตระกูลฝู่ เหวินชาง



        หลังจากคณะเราร่ำลาญาติพี่น้องตระกูลฝู่แล้ว     รถตู้ได้พาคณะเราเลาะเลียบตามถนนทุ่งนา
ฝ่าท้องทุ่งที่กำลังเขียวขจีงดงามด้วยต้นข้าวกำลังแตกกอ        แล้วตัดขึ้นถนนลาดยางกลับไปที่เมืองเหวินชางอีกครั้งหนึ่ง  นัยว่า นัดพบกับคณะกรรมการศาลเจ้าตระกูลฝู่  และญาติพี่น้องของตระกูลฝู่ที่ได้เฝ้ารออยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว  

        เมื่อรถตู้ไปถึง ภาพที่เห็นเป็นซุ้มประตูทางเข้าที่ยิ่งใหญ่สวยงาม  สร้างตามแบบจีนตามตำราที่เป็นมงคล  ด้านข้างมีสวนแบบจีนที่สวยงาม เสียดายไม่ได้เข้าไปดู  เพราะจิตใจมัวแต่จดจ่ออยู่กับการไปหาบ้านของตระกูล  แต๊ต๋ง.....


ซุ้มศาลบรรพชนตระกูลฝู่  ใหญ่โตสวยงามมาก

ทราบมาว่าศาลตระกูลฝู่แห่งนี้มีการตั้งมูลนิธิไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของตระกูลด้วย
 
 

 
เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึง คณะกรรมการของมูลนิธิและเป็นผู้อาวุโสของตระกูลได้เข้าต้อนรับและแสดงความยินดีกับก๋งอารีย์ที่คณะกรรมการทำหน้าที่ค้นหาหมู่บ้าน แต๊ต๋ง  ได้สำเร็จตามที่ก๋งอารีย์ขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเรื่องของลูกหลานแต๊ต๋งโดยเฉพาะแต่ท่านก็ยินดีให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
 
 
คุณยอดชายที่เป็นไกด์คนจีนได้ทำหน้าที่แปลภาษาให้บอกว่า  ทางคณะกรรมการของมูลนิธิรู้สึกยินดีที่มาเยี่ยม และปลาบปลื้มใจที่ทำหน้าที่คนจีนใหหลำด้วยกัน  ให้ความช่วยเหลือกันจนพบหมู่บ้านของตระกูล  และขอเชิญเข้าไปชม พักผ่อนข้างในมูลนิธิก่อน  ซึ่งข้างในนั้นมีรูปถ่ายของบรรพชนตระกูลฝู่มากมาย  แต่ละท่านต่างทำคุณงามความดีให้ประเทศชาติสังคมมากมาย
 
 
 

 
หลังจากผ่านประตูของศาลตระกูลฝู่เข้าไปข้างใน  มีป้ายไม้เจาะฉลุลวดลายขนาดใหญ่มาก  มีตัวอักษรจีนสีทองเขียนไว้ 2 ตัว
อ่านเป็นภาษาใหหลำว่า  ยั๊กตี่นัง  โต้วยักตี่เซ่ 
แปลว่า  คนหนึ่ง  เวลาหนึ่ง
หมายถึง คนเราเกิดมามีเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด หากไม่ตั้งเป้าหมายว่าจะทำอะไรแล้ว เวลาของคนนั้นก็จะผ่านเลยไป  คนๆ หนึ่งก็มีเวลาเป็นของตนเอง ฉนั้นอยากทำอะไรที่คิดว่าดี เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่น สังคมก็เร่งรีบทำซะ..ก่อนจะสายเกินไป
 
ในศาลตระกูลฝู่มีคนสำคัญคือ ญาติของตระกูลแต๊ต๋ง
 ได้มารอรับคณะของเราตั้งแต่เช้าแล้ว  ท่านผู้นั้น คือ  ตงกวงซ่าน 
 คุณประสาท ตงศิริ ได้เอาของฝากจากเมืองไทยมอบไว้ให้เป็นการต้อนรับขับสู้กัน จาก คนตงไทย กับ คนตงใหหลำ
 
 
ตงกวงซ่าน คนที่ 2 จากซ้ายรูปนี้ท่านมรอายุ 68 ปี
 แต่ปี พ.ศ.2556 นี้ ท่านมีอายุ 70 ปี
 
 

         ตงกวงซ่านเล่าว่า คุณพ่อก่อนเสียชีวิตไม่มีสมบัติใดมอบให้เลยมีแต่ ป๋วย หรือหนังสือบันทึกลำดับตระกูลเล่มเล็กๆ เล่มเดียว  สมุดบันทึกนี้ทำจากกระดาษเนื้อหยาบเหมือนกระดาษถุงปูนซีเมนต์  ข้างในมีตัวอักษรจีนที่บอกลำดับญาติตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน  และหนังสือหรือป๋วยนี้แหละที่มีความสำคัญอย่างมาก ทำให้ภายหลัง  ลูกหลานคนตงทุกคน ต้องตื่นเต้นตกตะลึงในสิ่งที่คาดไม่ถึง  จนทำให้ต้องเดินทางกลับไปค้นคว้าหาข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง  ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น  ต้องคอยอ่านตอนต่อไป
 









 




 
คณะกรรมการของมูลนิธิแซ่ฝู่ทุกคน และคณะของเราต่างตื่นเต้นในบันทึกนั้นมาก จึงช่วยกันรุมดู รุมอ่านด้วยความยินดีในเอกสารนี้ 
 เพื่ออยากจะรู้ที่มาของตระกูล คนตง 
ก๋งอารีย์ได้เคยบอกผมไว้ว่า คนเราหากไม่รู้ประวัติที่มาของตนเอง จะเหมือนต้นไม้ไม่มีรากแก้ว  ขาดแก่นของชีวิต  ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่สุด
 
 


 
 
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น